การซื้อบ้านหลังแรกถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องของ “สัญญาจะซื้อจะขาย” ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยปกป้องสิทธิของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ครั้งนี้ CP LAND จะมาอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของสัญญานี้ พร้อมข้อมูลที่ควรทราบเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สัญญาจะซื้อจะขายคืออะไร?
สัญญาจะซื้อจะขาย คือเอกสารที่จัดทำขึ้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ที่ผู้ซื้อมีความประสงค์จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยในระหว่างนี้ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาฉบับนี้ช่วยให้ผู้ขายไม่สามารถขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้กับบุคคลอื่นได้ในขณะที่สัญญามีผลบังคับใช้
ประเภทของสัญญาจะซื้อจะขาย
ประเภทของสัญญาจะซื้อจะขายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก โดยขึ้นอยู่กับประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บ้านและที่ดิน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งรายละเอียดของสัญญาแต่ละประเภทมีดังนี้
- สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดิน
ใช้ในกรณีที่มีการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินหรือที่ดินเปล่า โดยในสัญญาจะต้องระบุข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขโฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ) และรายละเอียดสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ระยะเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์มักอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือน เพื่อให้ผู้ซื้อมีเวลาเตรียมเอกสารและดำเนินการกู้สินเชื่อให้เสร็จสิ้น
- สัญญาจะซื้อจะขายคอนโดมิเนียม
เหมาะสำหรับกรณีซื้อขายคอนโด โดยสัญญาจะต้องระบุหมายเลขหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช. 2) รายละเอียดของโครงการ และข้อมูลห้องชุดที่ซื้อขาย สำหรับคอนโดที่ยังไม่ก่อสร้างหรือเปิดขายล่วงหน้า ระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์มักอยู่ที่ 1-2 ปี แต่สำหรับคอนโดที่สร้างเสร็จแล้วหรือคอนโดมือสอง ระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือนเช่นกัน
การจัดทำสัญญาที่ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์
ความสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย
การจัดทำสัญญาจะซื้อจะขายมีความสำคัญในหลายแง่มุม ได้แก่
- การรับประกันสิทธิ สัญญานี้ช่วยให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้รับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เมื่อถึงวันโอน
การระบุเงื่อนไข สัญญาจะช่วยกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น ราคา วิธีการชำระเงิน และวันที่โอนกรรมสิทธิ์ เพื่อลดความเสี่ยงของข้อพิพาทในอนาคต
รายละเอียดที่ควรมีในสัญญาจะซื้อจะขาย
สัญญาจะซื้อจะขายควรประกอบด้วยข้อมูลที่สำคัญดังนี้
- หัวสัญญา และข้อมูลคู่สัญญา
ระบุสถานที่และวันเดือนปีที่ทำสัญญา
ระบุชื่อ-นามสกุล อายุ และที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนของทั้งสองฝ่าย - รายละเอียดอสังหาริมทรัพย์
ระบุข้อมูลเกี่ยวกับเลขโฉนดที่ดิน ขนาดพื้นที่ และรายละเอียดอื่น ๆ ของทรัพย์สินที่ชัดเจน - ราคา และวิธีการชำระเงิน
ระบุราคาขายอย่างชัดเจน รวมถึงรายละเอียดการชำระเงิน เช่น เงินดาวน์ ยอดเงินที่เหลือ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเช็ค - เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์
กำหนดวันที่แน่นอนหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น เมื่อธนาคารอนุมัติสินเชื่อ - ความรับผิดชอบทางกฎหมาย
ระบุความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดการผิดสัญญา เช่น การคืนเงินมัดจำ
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนเซ็นสัญญา
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ผู้ซื้อควรตรวจสอบรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ตรวจสอบข้อมูล
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในสัญญาถูกต้องตามข้อเท็จจริง - เงื่อนไขพิเศษ
หากมีเงื่อนไขพิเศษ ควรระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน - ลายเซ็นของคู่สัญญา และพยาน
สัญญาจะสมบูรณ์ และมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีลายเซ็นของทั้งสองฝ่าย รวมถึงพยาน
ข้อควรระวัง
- อ่าน และทำความเข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดในสัญญาก่อนลงนาม
- หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิของตนได้รับการปกป้อง
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขายก่อนที่จะซื้อบ้านหลังแรก ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการซื้อขายดำเนินไปอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
CP LAND พร้อมให้คำปรึกษาสำหรับ First-Time Buyer และทุกคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง
ด้วยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจในทุกกระบวนการและพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอน เพื่อให้การซื้อบ้านในฝันของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
แหล่งข้อมูล :
https://nayoo.co/khonkaen/blogs
https://www.kasikornbank.com/th/propertyforsale/
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/home-car
#CPLAND #AccessibleCommunitiesForLife #ซีพีแลนด์ #คุณภาพเพื่อชีวิต #สัญญาซื้อบ้าน #บ้านหลังแรก #FirstTimeBuyer